5 เหตุผลที่บอกเราว่า เราชนะคือนโยบายที่แย่ที่สุดนโยบายหนึ่งของรัฐบาลนี้
.
วันนี้เป็นวันแรกของการโอนเงินเข้าสู่แอปเราชนะที่มีจุดประสงค์เพื่อเยียวยาประชาชนเป็นเวลา 2 เดือนในช่วงโควิดรอบสองที่ผ่านมา โดยกำหนดเป็นเงิน 7000 บาทจ่ายสองงวดตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ถึงมีนาคม อาทิตย์ละ 1000 บาท โดยสัปดาห์แรกอย่างวันที่ 18 นี้จะเป็นการโอนเข้าแอปเป๋าตังค์ผ่านโครงการ 2000 บาท แล้วจะทยอยจ่ายไปจนครบ
.
กระนั้นเองสิ่งที่เราได้พบจากโครงการนี้คือ ความชิบหาย ล้มเหลว ตั้งแต่เปิดแอปแอปล่ม คนลงทะเบียนเป็นพันเพราะไม่มีสมาร์ทโฟน และ ที่สำคัญคือ มันใช้จ่ายได้จำกัดเนื่องจาก โอนเงินไม่ได้ แถมเอาออกเป็นเงินสดไม่ได้อีกต่างหาก
.
นั่นคือ เหตุผลน่าสนใจว่า แอปนี้มันมีไว้ช่วยเยียวยาคนได้จริง ๆ หรือ แล้วผมในฐานะคนที่จับตามองเรื่องนี้มาสักพักเลยรวบรวมความน่าปวดหัว เฮงซวยของโครงการนี้มาให้อ่านกันนะครับ
1. ทันทีที่วันนี้ (วันที่ 18) คือวันแรกที่เงิน 2000 บาทจะโอนเข้าสู่แอปเป๋าตังค์ พลันนั้นเอง แอปนี้ก็ล่มเข้าไม่ได้แม้กระทั่งตอนนี้ !! ส่งผลให้วุ่นวายยิ่งกว่าเดิม เพราะ เรารู้ดีว่า รัฐบาลนี้เอาทุกสิ่งทุกอย่างไปไว้ในแอปนี้ อาทิ คนละครึ่ง หรือ เราเที่ยวด้วยกัน ที่ต้องใช้แอปนี้ในการจ่าย จองโรงแรม เช็คอินเป็นต้น เหมือนเมื่อวันศุกร์ก่อนหน้านี้ที่แอปล่มตั้งแต่บ่ายสามจนสองทุ่มกว่า อย่างที่คุณรู้คือ แอปนี้ก็ไม่ต่างกับคอขวดหรือถนนตรงดอนเมืองที่เมื่อทุกสายมาที่นี่พร้อมกัน แอปมันรับไม่ไหว ก็พัง หรือ ล่มไปโดยปริยาย
.
ความไม่พร้อมของแอปทำให้เกิดผลหลายอย่าง โดยเฉพาะการลงทะเบียนที่สร้างความยุ่งยากและการดำเนินการยืนยันตัวเอง แต่ที่แน่นอนว่า มันไม่สะดวกเอาซะเลย เมื่อเทียบกับการโอนเงินเข้าธนาคารไปเลยยังดีกว่า
อย่างที่เราเห็นในภาพข่าวหลายวันมานี้ถึงการต่อแถวลงทะเบียนเราชนะของคนไม่มีสมาร์ทโฟน หรือ กระทั่งคนแก่ต้องไปนั่งรอตั้งแต่เช้า ในสาขาของกรุงไทย ที่บางจังหวัดเองก็อยู้ไกลมาก หรือ มีเพียงสาขาเดียว ยิ่งแสดงให้เห็นถึงการไม่ศึกษานโยบาบนี้เลยว่า มีไว้เพื่อสิ่งใด รัฐควรจะอำนวยความสะดวกให้ประชาชนมากกว่า การทำให้ประชาชนต้องเสียเวลา หรือ วุ่นวายกับการเดินทางเหมือนไปหาหมอ ซึ่งแสดงถึงความไม่สนใจหรือละเลยประชาชนอย่างแท้จริง
ยิ่งคำพูดของรัฐมนตรีคลังที่บอกว่า " ส่วนคนไม่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเชื่อว่าจะเป็นส่วนน้อย เพราะบางส่วนก็ถือบัตรสวัสดิการอยู่แล้ว แต่หากใครไม่มีก็ต้องขอรบกวนเพราะตอนนี้ราคาไม่แพงแล้ว และขอย้ำว่าคนร่วมโครงการเราชนะสามารถใช้สิทธิร่วมกับคนละครึ่งได้"
ยิ่งตอกย้ำถึงความย่ำแย่ของโครงการนี้อย่างชัดเจน
3. สำหรับเมืองใหญ่อย่าง กรุงเทพ หรือ ปริมนทล การหาร้านที่ลงทะเบียนเราชนะ หรือ รับเงินวอลเล็ตตัวนี้อาจจะเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับคนต่างจังหวัดหรือคนแก่นั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมาก ๆ ไม่ใช่แค่ต้องใช้เน็ตในการใช้แอปเท่านั้น บางจังหวัดจะใช้แอปนี้กับร้านได้ต้องไปไกลถึงสิบกิโล !! บางคนต้องต้อรถแล้วต่อรถอีกมาที่ร้านแล้วซื้อของหรือจัดการพวกนี้ไป ซึ่งแน่นอนว่า มันเป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น แน่นอนว่า รัฐอาจจะบอกว่า ก็ให้ร้านค้าทั้งหลายลงทะเบียนสิ แต่ปัญหาคือ ไม่ใช่ว่าใครจะลงทะเบียนได้ และ ลงเสร็จอาจจะต้องไปยืนยันตัวที่กรุงไทย มัมันวุ่นวาย และ ที่สำคัญไม่แสดงถึงความเข้าใจของประชาชนได้เลย
4. อันนี้แหละที่เป็นปัญหาใหญ่ของแอปนี้คือ การจ่ายเงินเป็นวอลเล็ทในแอปเป๋าตังค์หรือเราชนะ ที่นอกจากบังคับให้ซื้อของตามที่รัฐหรือร้านกำหนด คุณไม่สามารถโอนเงิน ซื้อของทางอินเตอร์เน็ต หรือ เบิกเป็นเงินสดได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องแย่มาก เพราะ อย่างที่เรารู้ว่า ในยุคสมัยนี้การซื้อของผ่านแอป จ่ายเงิน หรืออะไรเล่านี้ทำในอินเตอร์เน็ตได้ ซึ่งทำให้เราไม่ต้องเสียเงินเดินทางหรือเสียเวลาไปวัน ๆ ด้วยซ้ำไป ตัวแอปกลับไม่ให้เราทำเลย หรือ เปลี่ยนเป็นเงินสดเพื่อจ่ายค่าที่แอปทำให้ไม่ได้ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าจิปาถะอื่น ๆ ซึ่งไม่สะท้อนกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง และ เราต้องโดนบังคับให้ใช้เงินพวกนี้กับเขาที่เราไม่อยากได้ไม่จำเป็นอีก
.
แบบนี้เรียกว่า เยียวยาหรือในเมื่อมันไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระใด ๆ ประชาชนเลย
5. เงินเราชนะนี้มีระยะเวลาในการใช้ ถ้าใช้ไม่หมดก็ยึดคืน ไม่ใช่เงินให้เปล่า นั่นยิ่งชัดเจนว่า รัฐไม่เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง เงินที่ให้เยียวยาจะเป็นเงินที่บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่สิ่งที่รัฐทำดันทำเหมือนประชาชนไปยืมเงินรัฐแล้วบอกว่า รีบใช้นะไม่งั้นยึดคืน ซึ่งทำให้ประชาชนต้องรีบไปใช้กับสิ่งที่บางครั้งไม่จำเป็นเพื่อไม่ให้เงินโดนยึดคืนไป ตรงนี้สะท้อนเลยว่า นโยบายนี้ไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระ แต่เป็นการสร้างภาระให้ประชาชนมากกว่า เพราะ คุณต้องใช้ให้หมด ไม่งั้นโดนยึดคืน นั่นทำให้ต้องไปซื้ออะไรไม่รู้มาแทนเต็มไปหมด