"ไม่ใช่กิจของสงฆ์"
"พระควรอยู่วัด ควรมุ่งนิพพาน ไม่ใช่ไปชุมนุมกับฆราวาส"
"ล้มเจ้าเป็นมารศาสนา"
"เกิดเป็นเณรควรรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ในที่ชุมนุมเขาเรียกร้องอะไร ศาสนาก็ไม่เอา ชังชาติ ล้มเจ้า ไปเห่อกับเขา เดี๋ยวติดคุกอย่ามาบิณฑบาตค่าประกันตัวนะ"
"งงไปหมดแล้วว่าศาสนาสอนอะไร"
ฯลฯ
.
หลากความเห็นต่อภาพการขึ้นเวทีปราศรัยที่มหิดล ศาลายา ของพระ-เณร ล้วนแล้วแต่เป็นความไม่เข้าใจต่อสถานะของภิกษุ-สามเณรใต้การปกครองคณะสงฆ์ไทย เรายังเอากรอบคิดพระแท้-พุทธดั้งเดิม มาหลอกตัวเอง ทั้งที่ย้อนกลับไปหลายร้อยปีจนถึงพันปีที่อาณาจักรแถบนี้รับศาสนาพุทธมาและมีนักบวชพระสงฆ์องค์เจ้าก็เชื่อมโยงชีวิตผู้คน สังคม มาตลอด พร้อมๆ กับถูกจัดการให้อยู่ใต้อำนาจของราชสำนักเพื่อรองรับความศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์ในด้านจิตวิญญาณ ส่วนสายพระป่าที่คุ้นเคยกันปัจจุบันก็ตั้งขึ้นมาหลังก่อตั้งคณะธรรมยุตินิกายไม่เกิน 200 ปี ก่อนหน้านี้คือฝ่ายวิปัสสนาธุระที่อยู่ในร่มของคณะสงฆ์ทั่วไป และเป็นไปในเชิงปัจเจก ไม่ใช่ข้อบังคับการปกครอง
.
อยากอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ โดยไม่ต้องเปิดตำรับตำรา และก่อนตัดสินใจเอาศีลสิกขาไปไล่ฟาดเพียงเพราะเห็นคนห่มเหลืองออกไปประท้วงรัฐบาล เพราะเห็นชัดเจนว่าขาดความรู้ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ว่า ในพุทธศาสนา มีหลักสัทธรรม หรือ หลัก 3 ป.ที่คุ้นเคยกัน คือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
.
ปริยัติสัทธรรม สัทธรรมคือสิ่งที่พึงเล่าเรียนได้ เช่น พุทธพจน์
ปฏิบัติสัทธรรม สัทธรรมคือสิ่งพึงปฏิบัติ เช่น ไตรสิกขา
ปฏิเวธสัทธรรม สัทธรรมคือผลที่พึงบรรลุ ได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน
.
คนที่จะเข้าใจเรื่องนี้ต้องแยกแยะพระเณรบวชเรียน กับพระสายปฏิบัติวัดป่าที่คุ้นชินหรืออยากให้เป็นออกจากกันก่อน (ไม่ได้หมายความว่าสายบวชเรียนจะไม่ปฏิบัติ แต่ไม่ได้เคร่งในปฏิบัติ ปฏิเวธ หรือกรรมฐาน เท่าสายวัดป่า) โดยพระเณรบวชเรียนปริยัติส่วนใหญ่จะบวชตั้งแต่อายุน้อยๆ จบ ป.6 อายุ 12 ปีก็โกนหัวเข้าโบสถ์เลย
.
ปริยัติ ปริ (รอบ) + ยตฺติ (ศึกษา เล่าเรียน) ความหมายเดิมคือ 'ระเบียบคำอันควรศึกษาโดยรอบ' ซึ่งตรงนี้คณะสงฆ์ไทยขยายขอบเขตจากพุทธพจน์ สู่ความรู้ทั่วไป เนื่องจากเห็นว่า โลกพัฒนาก้าวหน้าทุกวัน แต่พระร่ำเรียนอยู่แต่ไตรปิฎกตั้งแต่อายุน้อยๆ ย่อมขาดไร้ความรู้ที่เชื่อมต่อกับสังคม พูดโดยสรุปคือจะไปเทศนาสอนญาติโยมได้อย่างไรหากความรู้ไม่กว้างขวางพอ ไม่รู้แม้กระทั่งว่าญาติโยมลำบากลำบนได้ข้าวปลามามาใส่บาตรอย่างไร ฤดูไหนหว่านกล้า ฤดูไหนเก็บเกี่ยว ทำไมแผ่นดินจึงแล้ง เหตุใดน้ำท่วม ทำไมเกิดศึกสงคราม ฯลฯ บางคนชื่นชมประวัติศาสตร์พระอาจารย์ธรรมโชติ แห่งบางระจันที่ออกมาช่วยจัดการเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวบ้านยามศึกสงคราม ซึ่งเป็นการเมืองประเภทหนึ่ง แต่ความชื่นชมยินดีนั้นกลับเลื่อนไหลในยุคสมัยปัจจุบันเมื่อเห็นพระเณรออกไปหนุนผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลประยุทธ์ได้อย่างไร?
.
ในอดีตมีประวัติศาสตร์พระสงฆ์แถบไทย-พม่า-เวียดนามก็แสดงออกประท้วงรัฐบาลเผด็จการด้วยวิธีแตกต่างกันไป ทั้งวิธีอารยะขัดขืน อย่างกรณีพระพิมลธรรม (อาจ อาสภเถระ วัดมหาธาตุฯ)ที่สู้กับอำนาจเถื่อนของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ที่ยัดข้อหามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ และกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐในราชอาณาจักรโดยการจับสึกและสั่งขังในปี 2503 ถัดมาอีก 3 ปี เกิดกรณีพระทิก กว๋าง ดึ๊กที่เวียดนาม เผาตัวเองเพื่อประท้วงเนื่องจากรัฐบาลไม่ให้ความเท่าเทียมกันทางศาสนากับชาวคริสต์ในการบริหารของรัฐบาลของโง ดิ่ญ เสี่ยม
ส่วนคณะสงฆ์พม่าเคยประกาศ "ปฐมนิคหกรรม" ไม่รับบิณฑบาตจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทหารพม่า ทหาร และครอบครัวในปี 2531 ก่อนออกมาร่วมชุมนุมกับประชาชนด้วยนับแสนคนและถูกสลายชุมนุมจนมีคนตายกว่า 3 พันคน จนถึงการเดินขบวนประท้วงด้วยตนเองเพื่อต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าในปี 2550 ที่เรียกว่า Saffron Revolution หรือ "การปฏิวัติผ้ากาสาวพัสตร์"
ทั้งหมดทั้งมวล คือเรื่องการเมือง ที่มีเลือดเนื้อชีวิตและลมหายใจของผู้คนบรรจุอยู่ในนั้น
.
สมัยก่อนสายปริยัติธรรมจะมีเพียงโรงเรียนสอนบาลี (เปรียญธรรม) สมัยโบราณตามวัดวาสอนกันเองตามมีตามเกิด ไม่ได้มีมาตรฐานควบคุม ไปลุ้นกันตอนสอบสนามหลวงอย่างเดียว มหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่งคือมหาจุฬาฯ กับ มหามกุฏฯ ก่อตั้งแผนกบาลีกันเมื่อราวๆ ร้อยปีก่อน แต่เพิ่งมามีระเบียบกระทรวงศึกษาธิการรองรับแผนกสามัญศึกษาขึ้นในปี 2514 นี่เอง ปัจจุบันใช้ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พ.ศ.2535 ถึงในปัจจุบัน เรียนจบ. ม.6 ก็มีมหาวิทยาลัยสงฆ์รองรับ หรือจะศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยทั่วไปที่เปิดรับในบางสาขาวิชาด้วย โดยเหตุผลสั้นๆ คือ "เพื่อให้ผู้ศึกษาได้บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป"
.
การเปิดสายสามัญศึกษา ควบคู่กับบาลีที่มีแต่เดิม เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองตัดสินใจส่งบุตรหลานเข้ามาบวชเรียนง่ายขึ้น เพราะมีทางเลือกให้ว่าจะเรียนควบคู่ หรือจะเลือกเรียนบาลีหรือสามัญอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้(บางวัดบังคับให้เรียนควบคู่)หากวันหนึ่งลาสิกขาไปก็มีวิชาความรู้ออกไปดำรงชีวิต แต่หากจะบวชต่อเอาดีทางศาสนาย่อมได้ เป็นโอกาสดีของลูกหลานคนยากจนที่ไม่มีเงินมากพอจะส่งเสียลูกหลานร่ำเรียนสูงๆ ดั่งใจปรารถนาที่มีทางเลือกชีวิตเพิ่มขึ้น และลดปัญหาสังคมลงไป เช่นเดียวกับกลุ่มชายขอบของสังคม เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โรงเรียนพระปริยัติธรรมหลายจังหวัดในภาคเหนือ อย่างที่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แพร่ น่าน มีชาวไทใหญ่หรือกะเหรี่ยงตามดงดอยมาบวชเรียนได้ความรู้ สึกออกไปก็มีงานทำ หรือกลับไปเป็นครูสอนในชุมชนตัวเองตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เป็นอีกมุมที่คนนอกไม่ค่อยรู้
.
อย่างที่ 'สามเณรโฟล์ค' นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ออกมาเคลื่อนไหวกับคณะราษฎรกล่าวว่า "ถ้าการเมืองดีผมคงไม่ต้องมาบวช" และ "นักบวชจะนิ่งเฉยต่อความทุกข์ยากของประชาชนได้อย่างไร?" นี่คือการกล่าวอย่างซื่อสัตย์ต่อตัวเองอย่างที่สุด เพราะถ้าการเมืองดี รัฐบาลดี พ่อแม่คงหากินง่าย มีเงินซื้อชุดนักเรียนใหม่ ไม่ต้องกระเบียดกระเสียนอดมื้อกินมื้อ เขาจึงออกบวชเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัว ให้พ่อแม่ส่งน้องสาวคนเดียวร่ำเรียนต่อไปได้
.
โดยสถิติของโรงเรียนพระปริยัติธรรม จำนวนพระเณรลดน้อยลงทุกปี แต่ปีที่น้อยที่สุดคือช่วงที่การเมืองดี เศรษฐกิจดี ฮวบฮาบจนมองแทบต้องปิดโรงเรียน แต่ในห้วงที่บ้านเมืองแย่ เศรษฐกิจไม่ดี คนก็ส่งลูกหลานมาบวชเรียนกันเพิ่มอีก นี่คือสิ่งที่ชาวพุทธไทยที่จ้องวิจารณ์บทบาทของสามเณรต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่มีวันเข้าใจ
.
พูดให้ชัดกว่านั้นคือ ถ้าการเมืองดี จะมีพระบวชเพื่อปฏิบัติและปฏิเวธอย่างเดียว จำนวนนักบวชในประเทศไทยก็น้อยลงเหลือไม่ถึงครึ่งเท่าที่มีอยู่ราว 3 แสนรูปทั่วประเทศ เหลือแต่พระสายวัดป่าของธรรมยุติ ส่วนสายมหานิกายที่เป็นวัดบ้านๆ นั้นก็จะเหลือแต่พระชราที่มุ่งเน้นพิธีกรรม คอยรับใช้งานบุญให้ญาติโยม ขยายพุทธพานิชย์ร่วมกับกรรมการวัด และช่วยสืบทอดอุดมการณ์รัฐชาติในฐานะเป็นศูนย์กลางของชุมชน และหนุนให้ระบอบอุปถัมป์แบบไทยๆ ดำรงอยู่ต่อ(ระบบกฐินที่เป็นอยู่ผิดเพี้ยนจากพุทธกาลแค่ไหนทำไมไม่พูดกัน ทำให้วัดต้องเข้าถึงผู้มีอำนาจบารมี-นักการเมือง-เศรษฐี ฯลฯ เพื่อให้กองกฐินใหญ่ขึ้นทุกปี เป็น KPI ของเจ้าอาวาส แลกกับการเป็นศูนย์กลางหัวคะแนนหรือหนุนนำความนิยมต่อผู้อุปถัมป์ ส่วนเป้าหมายปลายทางคือได้เป็นวัดในข่ายได้รับ 'กฐินพระราชทาน' ซึ่งก็ต้องเร่งขยายกองกฐิน พัฒนาวัดให้เป็นอารามหลวงเสียก่อน
.
ถ้าการเมืองดี พระหนุ่มเณรน้อยจะเหลือน้อยลง จะพบได้เฉพาะสามเณรภาคฤดูร้อนช่วงปิดเทอม กับพระบวชเข้าพรรษา รอกรานกฐินแล้วลาสิกขาไป
.
หากว่าตามความหมายที่ชาวพุทธไทยต้องการให้เป็น คือให้เหลือพระสายปฏิบัติแท้ๆ ไม่ยุ่งกับทางโลก ไม่ต้องสนใจว่าบ้านเมืองจะประสบความฉิบหายยังไง มีข้าวเหลือพอตักบาตรไหม ก็ต้องช่วยกันทำการเมืองให้ดี ให้ผู้คนมีอนาคต เศรษฐกิจมั่นคง เด็กอายุน้อยๆ ก็ไม่ต้องถูกส่งไปบวชเพื่อลดภาระในครอบครัว เราจะเอาแบบนั้นถูกต้องไหม
ถ้าใช่ ก็ต้องเชื่ออย่างที่สามเณรราษฎรกำลังต่อสู้ ก็คือสู้เพื่อให้สังคมดี การเมืองดี เศรษฐกิจมั่นคง ไม่มีรัฐประหารมาทำลายกลไกการเมืองระบอบประชาธิปไตย สามเณรรุ่นหลังจะได้ไม่ต้องมาบวชเรียนใต้ร่มกาสาวพัตรอีกต่อไป
"
"
ภาพโดย Sirachai Arunrugstichai & Kan Sangtong