มีโฆษณาของบริษัทประกันชีวิตที่เผยแพร่ในสื่อออนไลน์ช่วงนี้ ใจความทำนองว่า "ชีวิตพ่อลูกคู่หนึ่ง ใช้ชีวิตกลางเมืองหลวง โควิด ทำให้ธุรกิจ กิจการต่างๆย่ำแย่ รวมถึงชะตากรรมพ่อลูกคู่นี้ที่ต้องไปขอข้าวกิน ...จึงต้ดสินใจกลับบ้านต่างหวัด พลิกพื้นไร่ พื้นนาทำกิน จนชีวิตมีสุข "



ในโฆษณานั้น ดูเหมือนว่า "ชีวิตบ้านนอกสุขยิ่งกว่าเมืองกรุง ถ้าเพียงแต่หันหลังกลับมาทำไร่ทำนาเหมือนเดิม"

โฆษณาดูดี เสียดายมันเป็นเพียงโฆษณา เพราะจริงแล้วๆ โครงสร้างปัญหาส่วนหนึ่งของประเทศตอนนี้ ไม่ใช่คนไม่อยากทำนา ทำไร่แล้วทิ้งไปเข้ากรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่

แต่ปัญหาจริงๆส่วนใหญ่ คือคนไม่มีที่ทำกิน หรือที่ทำกินไม่พอสำหรับคนในครอบครัว

ง่ายๆคือ คนมีที่ดินก็มีมากมาย ส่วนคนไร้ ก็ไม่มีที่ซุกหัวนอน

สำหรับบางครอบครัวที่มีที่ทำกิน จะพบว่าโครงสร้างพื้นฐาน ระบบชลประทาน สภาพดิน มันไม่ได้เอื้อให้เกิดการทำกิน จนเกิดมรรค ผล หรือได้ผลสำเร็จเท่าที่ควร

นี่ยังไม่นับกรณี ผู้ถูกดำเนินคดี จากปัญหาเรื่องพิพาทที่ดินทำกินที่เกิดขึ้นทุกๆวัน

เกษตรกรรม จะเป็นทางเลือกของเกษตรกร และอนาคตของรัฐชาติได้ รัฐต้องเห็นความสำคัญด้วยจริงใจ และสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานเหล่านั้น ให้เพียงพอที่เขาจะกลับไปทำกินแล้วเกิดผลสำเร็จ

ที่ผ่านมาเกษตรกรจะทำเอง ล้มลุกคลุกคลาน รายใดทำสำเร็จ หน่วยงานรัฐก็จะเขาไปมีส่วนเล็กๆน้อยแล้ว ขอปักป้าย "สนับสนุนโดย..." จนเป็นที่คุ้นเคยกับ "กรมปักป้าย นโยบายผักชี"

แน่นอนว่า เอกชนผู้ว่าจ้างผลิตสปอตโฆษณานั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำทางทรัพยากรที่ดิน หรือการขาดที่ทำกินของผู้ยากไร้ อีกทั้งมันก็เป็นการโฆษณา

แต่น่าเสียดายว่า หากลงลึกถึงแก่นแท้ รากเหง้าของปัญหาเรื่องสิทธิที่ดินทำกินจริงๆ โฆษณานี้จะใกล้ความจริงมากกว่านี้



คำถามธรรมดาที่สุด ที่ควรถามตัวเองมากที่สุด คือเมื่อไหร่คุณพี่จะเลิกผลิตโฆษณาแบบนี้ออกมาค้าาา

'Life purpose' โฆษณาตัวล่าสุดของไทยประกันชีวิต เล่าถึงชีวิตของพี่ยามที่ชื่อ หยัด ผู้ตกอับจากเมืองกรุง หอบลูกชายมุ่งหน้าไปยังบ้านเกิดเพื่อทำไร่ไถนา อยู่ยังไง กินแค่ไหนถึงจะเพียงพอ กับเสียงเพลง Take Me Home, Country Roads คลอประกอบตลอดความยาวสามนาทีครึ่งให้ชวนน้ำตารื้นกับชีวิตของพี่หยัด ชายผู้ตระหนักได้ว่าชีวิตในเมืองมันแย่ หวนกลับไปทำนาทำไร่ที่บ้านนอกดีกว่า เสร็จแล้วยังเหลือผลผลิตจากสวนมาแบ่งปันพวกคนเมืองอีกตะหาก

มันก็เหมือนโฆษณาอีกหลายๆ ตัวที่บอกให้เราอยู่แบบจำกัดจำเขี่ย เจียมเนื้อเจียมตัวไปนั่นแหละ คนจากต่างจังหวัดหลายคนเขาก็ไม่ได้อยากเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เมืองเทพสร้าง (แต่เทพไม่อยู่จ้า เอ๊ะ) นี่เท่าไหร่หรอก เลือกได้ ใครมันจะอยากห่างบ้าน

เพราะพวกเขาไม่ได้โชคดีเหมือนลุงหยัดในเรื่องไง ลุงหยัดที่จบประถมสี่ เข้าเมืองมารับจ้าง มาเป็นยาม อดมื้อกินมื้อโดนเจ้าหนี้ซ้อม ไวรัสระบาดเลยกลับบ้านนอกปลูกข้าว ชีวิตจริง ในปีก่อนนี้และปีนี้ ลุงหยัดกับชาวนาอีกหลายล้านชีวิตในไทยจะเจอกับภัยแล้งจนข้าวไม่ออกรวง บางคนที่เช่านาคนอื่นเขามาทำนาต้องวิ่งหาเงินมาจ่ายค่าเช่านาทั้งที่ไม่ได้เงินค่าข้าวเลยด้วยซ้ำ บางคนไม่มีบ้านให้กลับด้วยซ้ำไป

ถ้าการเมืองดี ลุงหยัดจะมีสวัสดิการ มีเงินมาเลี้ยงชีพหลังได้รับผลกระทบจากโควิด อาจไม่ต้องจากบ้านเกิดมาเข้าเมืองไกลๆ ด้วยซ้ำไปเพราะรัฐจะกระจายความเจริญไปยังบ้านเกิดของเราทุกคนได้ แต่โฆษณาก็เลือกจะฉายภาพความอิ่มสมบูรณ์ของต่างจังหวัด ตัดสลับกับความแห้งแล้ง ความวุ่นวาย ความแก่งแย่งกันที่เกิดขึ้นในตัวเมือง (แหม่ เอาเข้าจริงช่วงที่เดือดจัดๆ ที่ต่างจังหวัดก็วุ่นวายไม่ต่างกัน คนมันก็หนีภาวะไม่มีกินกันทั้งนั้น รู้เรยว่ามองต่างจังหวัดด้วยทัศนคติแบบไหน)

โฆษณาพวกนี้ไม่เคยตั้งคำถามเลยว่าทำไมคนต่างจังหวัดถึงต้องดิ้นรนเข้ามาในเมืองหลวง เพราะมันไม่ซึ้ง เพราะการตั้งคำถามเช่นนั้นมันทำให้คนดูตระหนักได้ว่า การจะแก้ปัญหามันไม่ได้เริ่มขึ้นที่ตัวเขา (กลับบ้าน อยู่อย่างพอมีพอกิน) แต่มันเริ่มขึ้นที่รัฐ เรื่องแบบนี้มันไม่โยงการเมืองไม่ได้เพราะคุณภาพชีวิตคนมันเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง มันเลยมีค่าไม่ต่างจากโฆษณา "ประชาธิปไตยหน่อยดิแม่" ของกรมประชาสัมพันธ์ แต่เวอร์ชั่นคนทำที่มืออาชีพกว่า ละเอียดกว่าแค่นั้นเอง

มันเลยทำได้แค่ตอกย้ำซ้ำๆ ให้คนอยู่อย่างพอเพียง
แต่ไม่มีใครถามเลย ว่าจะพอเพียงได้ยังไง
ในเมื่อพอจะแดก