นี้ไม่ใช่การเรียกร้องของคนรุ่นใหม่แต่มันคือการเรียกร้องเพื่ออนาคตของคนไทยทุกคนไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร ไม่ว่าคุณจะประกอบอาชีพอะไร

" We need you voice พวกเราต้องการเสียงของคุณ"



"ความเป็นกลางที่เมินเฉยต่อการลดทอนและจำกัดเสรีภาพในการแสดงความเห็น จึงไม่อาจเรียกว่า ‘ความเป็นกลาง’ ได้อีกต่อไป หากเส้นแบ่งนั้นขึ้นอยู่กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มากกว่าการเปิดพื้นที่แห่งความหลากหลายให้กับทุกคน"
Illustration by Waragorn Keeranan

ครั้งแรก “เขา” มาจับพวกคาทอลิก
แต่ฉันเป็นโปรเตสแตนต์, ฉันจึงเฉยเสีย

ต่อมา “เขา” มาจับคอมมิวนิสต์
แต่ฉันไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์, ฉันจึงไม่ได้ทำอะไร

ต่อมา “เขา” มาจับพวกสหภาพแรงงาน
แต่ฉันไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น, ฉันจึงยังนิ่งอยู่

จากนั้น “เขา” มาจับคนยิว
แต่ฉันไม่ได้เป็นคนยิว, ฉันจึงยังนิ่งเฉยดังเดิม

และเมื่อถึงเวลาที่ “เขา” มาจับฉัน
ก็ไม่เหลือใครสักคนที่คิดจะพูดหรือทำอะไร…

เป็นบทกลอนที่เขียนโดย Martin Niemöller ผู้มีชีวิตอยู่ในระหว่างปี ค.ศ. 1892-1984 และเป็นผู้ที่ต่อต้านลัทธินาซีในยุคที่นาซีเรืองอำนาจ บทความที่เห็นคือ Martin Niemöller: “First they came for the Socialists…” มีคำถอดเป็นไทยที่ฟังแล้วสะเทือนใจอยู่ไม่ใช่น้อย

"เราจะนิ่งเงียบ เพื่อวันหนึ่งจะไม่มีใครสนใจเราเลย .. หรือ?"

cr thematter

หากวันนี้เรามีรัฐบาลและพรรคการเมืองที่ฟังเสียงของเรา
พวกเขาพร้อมจะยื่นและเสนอนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหา
พวกเขาจะระมัดระวังในการประพฤติเพราะห่วงฐานเสียง
พวกเขาจะระมัดระมัดที่จะถูกตรวจสอบจากภาคประชาชน
พวกเราจะสามารถเลือกตั้งแบบยุติธรรม
พวกเราจะสามารถเลือกพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์
หากพวกเขาโกหกหรือหลอกหลวงไม่ทำตาม
เรามีเวลา 4 ปีที่จะศึกษานโยบายและเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง
หากครั้งไหนพวกเขาประพฤติไม่ชอบ
พวกเรามีสิทธิที่จะออกมาประท้วงเรียกร้องความชอบธรรม
พวกเราจะมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
ตรวจสอบรัฐบาลโดยไม่มีใครต้องถูกดำเนินคดี
เพราะทั้งหมดนี้คือประชาธิปไตย..

ปัญหาบัตรเขย่งกัน หรือจำนวนบัตรไม่ตรงกัน
ในความหมายคือ “บัตรเลือกตั้งที่ กกต.เตรียมไว้ ณ หน่วยเลือกตั้งต่างๆ ถูกใช้ไปไม่ตรงกับจำนวนผู้ที่เข้าคูหาไปลงคะแนน” กล่าวคือ จำนวนผู้มาใช้สิทธิกับตัวเลขบัตรที่ถูกใช้ไปไม่ตรงกัน

ตัวอย่างข่าวการนับคะแนนเสียงผิดพลาด
https://www.prachachat.net/politics/news-320878

ตัวอย่างข่าวการพบสายรัดเอกสารเลือกตั้งโผล่ห้องน้ำปั๊ม กกต.กลับบอกว่าไม่ทุจริต https://www.thairath.co.th/news/society/1529768

สว.250 เสียง ล้วนมาจากการแต่งตั้งจากคสช
1.คสช.จัดตั้งคณะกรรมการสรรหา สว. เลือกรายชื่อมา 400 คน
2.คสช. คัดเลือกเหลือ 194 คน และสำรองอีก 50 คน
3.มาจากผู้ที่เป็นสว.โดยตำแหน่ง 6 คน (ยศทหารล้วน)
3.คสช.เลือกรายชื่อผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชาที่ส่งมาจาก กกต โดยเลือกมาอีก 50 คน

ต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ประชาชนเป็นผู้เลือกสว.โดยตรง
แต่ละท่านมีวาระ 6 ปี ต่อมาหลังจากนั้นเริ่มมีการปรับลดให้มาจากเลือกตั้งผสมกับการคัดเลือก จนมาถึงวันที่คสช.เลือกเองทั้งหมด

หลายคนบอกว่าในอังกฤษยังมีสภาขุนนางที่มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด แต่รู้หนือไม่? ว่าสภาขุนนางของอังกฤษถูกจำกัดอำนาจ ไม่มีสิทธิเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลและไม่มีสิทธิผ่านกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

ส่วนในสหรัฐอเมริกา วุฒิสภาจะมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
สมาชิกวุฒิสภาจะมีวาระ 6 ปี โดยมีจำนวนทั้งหมด 100 คน จากทั้งหมด 50 รัฐ รัฐละ 2 คน วุฒิสมาชิกจะครบวาระไม่พร้อมกัน โดยทุก 2 ปี จำนวนวุฒิสมาชิก 1 ใน 3 จะต้องเลือกตั้งใหม่

สว.คือองค์กรที่ตรวจสอบสส.และรัฐบาล ทั้งคอบแก้กฏหมาย
แต่หากถูกคัดสรรมาจากรัฐบาลล้วนจะเกิดอะไรขึ้น?
ในการประท้วงวันที่ 16 สิงหาคม
เหล่านักศึกษามีการปราศัยหัวข้อที่หลากหลาย
ทั้งสิทธิที่ดินทำกิน สิทธิของแรงงาน ความเท่าเทียมทางเพศ
การนำโสเภณีเข้าระบบให้ถูกต้อง ปัญหาความล้มเหลวในระบบการศึกษา ปัญหาข้าราชการ อีกทั้งยังรวมถึงปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และหัวข้ออื่นๆอีกมากมายที่เป็นปัญหาในสังคม พวกเราไม่ได้ออกมาเพื่อตัวเอง

แต่พวกเราออกมาเพื่อ "อนาคตของประเทศ"

และข้อกฏหมาย 10 ที่ออกมานั้น เป็นการเสนอแนวทาง
เพื่อให้สถาบันกษัตริย์สามารถปรับตัวอยู่ในยุคสมัยใหม่
สามารถกลับมาอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ประชาชนมีสิทธิพูดถึง
และถกเถียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถาบัน สว.มีอำนาจในการพิจารณาคดีของพระมหากษัตรย์ มีสิทธิในการตรวจสอบและปรับการใช้งบประมาณต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพของเศรษฐกิจเท่านั้น
ทุกคนเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน คือเรื่องจริงและเราไม่สามารถทำให้ทุกคนเท่ากันได้หมดก็จริง
แต่!! อย่าลืมว่ารัฐมีหน้าที่จัดสรรทรัพยากรจัดสรรสวัสดิการ
เพื่อดึงคนในสังคมให้มีความเป็นอยู่ที่เกิดความเสมอภาค
การจะทำให้เกิดความเสมอภาค เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม
คนที่มี"โอกาสน้อย"ที่สุด ต้องได้รับการช่วยเหลือส่งเสริมมากที่สุด ส่วนคนที่ได้เปรียบอยู่แล้วก็ไม่ต้องได้รับอะไรมาเสริมหรือหนุนเนื่อง ตรงกันข้ามอาจจะต้องเสียสละให้คนอื่นที่ไม่มีโอกาสได้มากกว่าตัวเอง
และนี้คือหลักการของเหล่าประเทศพัฒนาแล้ว
รู้ว่าไม่เท่าเทียมแต่ไม่คิดจะลดความเหลื่อมล้ำใดใด
จึงเป็นความคิดที่ไม่สร้างสรรค์เอาเสียเลย
การเป็นประชาธิปไตยคือการยอมรับความเห็นต่าง
ความเห็นที่ถูกต้องตามครรลองธรรม
ในสถานการณ์ตอนนี้เราต้องการเสียงของ
ผู้คนในสังคม เสียงที่ออกมาช่วยกันผลักดั
ให้บ้านเมืองพัฒนาไปด้านหน้าอย่างโปร่งใส

ถ้าหากคุณยังลังเลลองหันมองหนี้สาธารณะจำนวน
"5,117,650,590,475 บาท"

ยิ่งคุณเงียบเท่าไร ลูกหลานของคุณยิ่งลำบากมากขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้เราไม่ได้สู้กับใคร แต่เราสู้เพื่ออนาคตของประเทศ
อย่าให้เสียงที่มีคุณค่าของคุณ ต้องถูกเก็บเงียบไว้เลย

ลองศึกษาจากสิ่งที่คุณได้รับผลกระทบมากที่สุด
ลองหันมองดูเพื่อนและคนรอบตัวที่แสดงออกทางการเมือง
ลองหันไปคุยกับพวกเขา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
หากคุณไม่เชื่อข้อมูลในเรื่องใด ลองศึกษาลงไปให้ลึก
ลองเริ่มแสดงความคิดเห็นจากในโซเชียลเท่าที่ตัวคุณไหว
ลองหันไปรอบตัวคอยแลกเปลี่ยนให้ความรู้กับคนที่"ยังไม่รู้"

อย่าคิดว่าตัวคุณจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
จาก 1 คนจะกลายเป็น 2 คน จาก 2 คนจะกลายเป็น 4 คน
เราจะช่วยกันกระจายความรู้ปบบเท่าทวีคูณ
เพราะเพื่อเราคือฝุ่นที่จะรวมกันเป็นแผ่นดินปึกใหญ่

อย่ากลัวที่จะออกมาส่งเสียงเพราะคุณมีพวกเราที่ยืนเคียงข้าง
หากคุณพร้อมเมื่อไร มาเจอกันที่การรวมตัวกันครั้งต่อไปนะ