มาดูกันว่าเมื่อทายาทอาแวสะดอตัวจริงได้เข้าไปดูหนังเรื่อง "ขุนพันธ์" จะเป็นเช่นไร เชิญอ่านคัฟ
" ผมเข้าไปดูขุนพันธ์ในฐานะหนึ่งเครือญาติที่หลงเหลืออยู่ของอาแวสะดอ ตาเละ ความจริงแล้ว ขุนพันธ์เวอร์ชันที่ฉายนี้ ไม่ใช่ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ แต่การเอาตัวร้ายนำในเรื่อง ตั้งชื่อ อัลฮาวียะลู มีถิ่นฐานอยู่ที่เขาบูโด มีความคิดแบ่งแยกดินแดน
ทำให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะโยงเกี่ยวกับส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง ของมหาโจร อาแวสะดอแห่งเขาบูโด
ในบทวิพากษ์นี้ ผมขอพูดในสองประเด็น คือ ส่วนของภาพยนตร์ และส่วนของข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ซึ่งผมให้คะแนนสอบตกทั้งสองด้าน
ที่ให้ตกทั้งสองอย่างเพราะมีเหตุผลดังนี้ครับ ส่วนที่ภาพยนตร์ได้เล่า ถึงแม้จะไม่ได้บอกว่าสร้างจากเรื่องจริง แต่ฉาก สถานที่ ตัวบุคคลในเรื่อง สลับเอาข้อเท็จจริงมาปนกับส่วนแต่งเติม
จนไม่แน่ใจว่าเจตนาของผู้สร้างต้องการจะแนบเอาส่วนเรื่องจริงเข้าไปด้วย เพื่อให้ตัวขุนพันธ์ในเรื่องดูน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วยหรือไม่
ประวัติศาสตร์ในภาพยนตร์
ยุคสมัยและเวลา ในเรื่องที่เล่าเป็นฉากในปี 2483 ซึ่งเป็นปีที่ อาแวสะดอตัวจริงเสียชีวิต
ยุคสมัยและเวลา ในเรื่องที่เล่าเป็นฉากในปี 2483 ซึ่งเป็นปีที่ อาแวสะดอตัวจริงเสียชีวิต
สถานที่ ในเรื่องได้ระบุถิ่นฐานของอัลฮาวียะลู ว่าอยู่ที่เขาบูโด ซึ่งเป็นเทือกเขาที่มีอยู่จริง ตรงชายแดนของจังหวัดยะลาและนราธิวาส แต่สถานีตำรวจที่ขุนพันธ์ไปอยู่นั้น คือ สถานีตำรวจควนเล (คำว่าควน แปลว่าเนิน ในภาษาไทยสำเนียงใต้)
หมู่บ้านที่ฮาวียะลูโตมาเป็นหมู่บ้านติดทะเล ชาวบ้านทำประมง ในขณะที่ตัวเขาบูโดจริง ที่อาแวสะดออาศัยอยู่ห่างจากชายทะเลที่ใกล้ที่สุดประมาณ 20 กม.
นอกจากนั้น ตัวเมืองที่ใกล้ที่สุดในเรื่อง มีสถานบันเทิงแบบเต็มรูปแบบ ทั้งไนต์คลับ และโคมนางโลม ซึ่งดูเหมือนบรรยากาศในกรุงเทพในยุคสมัยเดียวกันมากกว่า
ผู้คน ชาวบ้านในท้องเรื่อง พูดคุยกันภาษาไทยสำเนียงใต้ แต่ในความเป็นจริง ชาวบ้านที่อยู่รอบๆเขาบูโดน่าจะพูดภาษามลายู
ฮาวียะลู และ อาแวสะดอ หากผู้สร้างบอกว่า อัลฮาวียะลูสร้างจากตัวตนของอาแวสะดอ หรือดัดแปลงจากตัวตนของอาแวสะดอ นี่คือ ความบิดเบือนที่ห่างไกลจากความจริงมากที่สุดสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว
ฮาวียะลู และ อาแวสะดอ หากผู้สร้างบอกว่า อัลฮาวียะลูสร้างจากตัวตนของอาแวสะดอ หรือดัดแปลงจากตัวตนของอาแวสะดอ นี่คือ ความบิดเบือนที่ห่างไกลจากความจริงมากที่สุดสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว
ในเรื่อง อัลฮาวียะลู เล่นไสยศาสตร์ และลงอาคมจากพระเกจิอาจารย์ที่อยู่ในวัด สะสมเครื่องรางของขลัง สวนทางจากคำบอกเล่าของอาแวสะดอจากคนในพื้นที่ ที่เป็นมุสลิมที่เคร่งครัด ไม่สักยันต์ ไม่มีเครื่องรางของขลัง และปฏิบัติวัตรของศาสนาอิสลามอย่างสม่ำเสมอ
การสร้างภาพของอัลฮาวียะลู ที่มีพ่อเป็นมุสลิม (มีฉากที่พ่อกำลังอาบน้ำละหมาด) เป็นคนเล่นไสยศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพระเกจิอาจารย์ในวัดนั้น จึงเป็นจุดอันตรายที่สุดในความรู้สึกของคนที่เคยรับรู้ตัวตนของอาแวสะดอในฐานะมุสลิมคนหนึ่ง
เพราะศาสนาอิสลามนั้น กำชับและให้ความสำคัญในเรื่องการให้เอกภาพแก่พระเจ้าหนึ่งเดียว คืออัลลอฮ และการเล่นไสยศาสตร์ มนต์ดำนั้น ถือเป็นบาปที่ร้ายแรงในศาสนาอิสลาม ซึ่งประเด็นตรงนี้ถ้าผู้สร้างไม่อ้างอิง สถานที่ ตัวบุคคล หรือเวลาที่ตรงกับประวัติศาสตร์ของจริงแล้ว ก็จะไม่ทำให้เข้าใจว่า ฮาวียะลูคืออาแวสะดอ แต่หากต้องการให้ฮาวียะลูกับอาแวสะดอมีส่วนใดส่วนหนึ่งใกล้เคียงกัน ย่อมสร้างความสับสนให้กับผู้เสพสื่อ จนเข้าใจว่า อัลฮาวียะลูที่ปรากฏในภาพยนตร์นั้น คือ อาแวสะดอที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ที่นอกจากจะทำผิดต่อผู้คนประชาชนมากมายแล้ว ยังทำผิดต่อพ่อแม่ พระเจ้า ญาติพี่น้องอีกด้วย
บทภาพยนตร์
ถ้าพูดถึงตัวภาพยนตร์ด้านความบันเทิง ขุนพันธ์ เต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผล และไปไม่สุดในอารมณ์ของหนัง เหมือนกับที่ผู้กำกับท่านนี้ได้ทำให้ ไชยา และ อันธพาล เป็นหนังลูกผู้ชายที่เข้าถึงอารมณ์ของลูกผู้ชายมากกว่าเรื่อง ขุนพันธ์นี้มาก
ถ้าพูดถึงตัวภาพยนตร์ด้านความบันเทิง ขุนพันธ์ เต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผล และไปไม่สุดในอารมณ์ของหนัง เหมือนกับที่ผู้กำกับท่านนี้ได้ทำให้ ไชยา และ อันธพาล เป็นหนังลูกผู้ชายที่เข้าถึงอารมณ์ของลูกผู้ชายมากกว่าเรื่อง ขุนพันธ์นี้มาก
ในเรื่องไม่มีการปูพื้นเพตัวละคร ว่าขุนพันธ์เป็นใครมาจากไหน ส่งบทมาสั้นๆว่าเป็นมือปราบโจรที่มีอาคม ส่วนอัลฮาวียะลู ก็มีแรงจูงใจในการเป็นโจรที่ปะติดปะต่อไม่ได้ แม่โดนลูกหลงตาย
แต่ตอนนั้นพ่อไปทะเลาะอะไรกับใคร เรื่องอะไร ทำไมถึงต้องมาตามฆ่าตำรวจตายเป็นร้อยๆ คน เคหะพัสถานก็ไม่ได้ใหญ่โต ฐานะก็ไม่ได้ร่ำรวย ตกลงอัลฮาวียะลู ฆ่าคนไปเยอะๆเพื่ออะไรกันแน่
อัลฮาวียะลูดูเหมือนจะเป็นมิตรกับชาวบ้าน ปกป้องชาวบ้าน ไม่รังแกชาวบ้าน แต่ทำไมชาวบ้านถึงรังเกียจอัลฮาวียะลูอยู่ และฝักใฝ่เข้าหาตำรวจกันง่ายเหลือเกิน ทั้งๆที่ตำรวจในพื้นที่หย่อนยานในหน้าที่อย่างแรง
พ่ออัลฮาวียะลูเจอขุนพันธ์ครั้งเดียว ก็ขายลูกได้เลย บอกหมดว่าจุดอ่อนอัลฮาวียะลูอยู่ที่ไหนยังไงบ้าง จะฆ่าต้องทำยังไง
บทของอนันดา กับน้อย วงพรู ที่คนหนึ่งเหมือนแสดงขาดๆกับอีกคนที่ล้นเกินไป จนทำให้ดูไม่หลงใหล ไม่เหมือนน้อย วงพรูที่เล่นในเรื่องอันธพาล ที่ดูแล้วลงตัวมากกว่านี้
พ่ออัลฮาวียะลูเจอขุนพันธ์ครั้งเดียว ก็ขายลูกได้เลย บอกหมดว่าจุดอ่อนอัลฮาวียะลูอยู่ที่ไหนยังไงบ้าง จะฆ่าต้องทำยังไง
บทของอนันดา กับน้อย วงพรู ที่คนหนึ่งเหมือนแสดงขาดๆกับอีกคนที่ล้นเกินไป จนทำให้ดูไม่หลงใหล ไม่เหมือนน้อย วงพรูที่เล่นในเรื่องอันธพาล ที่ดูแล้วลงตัวมากกว่านี้
ฉาก ภาพCG ไทยน่าจะทำได้ดีกว่านี้ สอบตกอย่างไม่น่าให้อภัยในฐานะที่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ของปี ฉากที่คิดว่าน่าจะเป็นใคลแมกซ์กลับกลายเป็นฉากที่ดูแล้วตลก เพราะ CG ทำพิษ
ส่วนโลเกชั่นในเรื่อง น่าจะไม่ได้เก็บจากนราธิวาสจริงๆ ซึ่งถ้ามาที่เขาบูโดจริงๆแล้ว เขามันใหญ่กว่าในเรื่องเยอะ ตัดคะแนนเรื่องความไม่สมจริงตรงนี้ไปอีก
บทสรุป
เหรียญหลวงพ่อคูณ วัดตลาดไทรเก่า ปี22 เนื้อทองแดง พิมพ์มีเม็ดตาสร้างโดยวัดตลาดไทรเก่า |
ไม่ผ่านทั้งภาพยนตร์ที่เป็นอัตชีวประวัติ และในแง่ของภาพยนตร์ที่จะมอบความบันเทิงให้ "
นั้นคือความคิดเห็นของคุณหมอท่านหนึ่งที่เป็นญาติสนิทของอาแวสะดอ เป็นแรงบันดาลใจให้ผมต้องการทำหนังเรื่อง "อาแวสะดอ" ขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องราวความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนั้น
ผ่านมุมมองของญาติพี่น้องและชาวบ้านแถบเทือกเขาบูโดที่เคยรู้จักอาแวสะดอ เคยสัมผัสตัวตนจริงๆของอาแวสะดอ และ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจเรื่องหลักศรัทธาของศาสนาอิสลาม ในอิสลามห้ามเด็ดขาดเรื่องไสยศาสตร์ มนต์ดำ สักยันต์ หรือลงอาคมของขลังใดๆทั้งสิ้น ซึ่งอิสลามถือว่าของพวกนี้เป็นสิ่งไม่ดีเป็นของชั้นต่ำ สกปรกและน่ารังเกียจ .
หากอัลลอฮประสงค์อินชาอัลลอฮทุกท่านคงได้รับชมหนังเรื่องนี้ ภาพยนตร์เรื่อง "อาแวสะดอ" อยู่ในช่วงการประสานงานเพื่อหาเงินและระดมทุนมาใช้จ่ายในการสร้าง
เบื้องต้นวางงบประมาณไว้ที่ 10 ล้านบาท โดยใช้ดารายอดนิยม 3ประเทศมาร่วมแสดงทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศไทย
นอกจากนี้ยังมีโปรเจคหนังอีกสองเรื่องที่จะสร้างหลังจาก "อาแวสะดอ" คือเรื่อง "In the name of Haji Sulong :
นามนั้นชื่อว่า หะยีสุหลง"( เขาคือกบฏแบ่งแยกดินแดนหรือวีรบุรุษ) และเรื่องที่สาม "The Rainbow Queens : 4ราชินีแห่งสายรุ้ง" (เรื่องราวของมหานครปตานีที่รุ่งโรจน์ราวสายรุ้งสลับสายภายใต้การปกครองของราชินีสี่พระองค์) เป็นอันครบหนังไตรภาคเกี่ยวกับมาตุภูมิที่มีชื่อว่า " ปตานีดารุสสลาม "